การตำหนิ
วิธีการตำหนิลูกน้องที่ดี
http://bbznet.pukpik.com/scripts/view.php?user=myzeon&board=39&id=133&c=1&order=numview
อันว่าการตำหนิคนอื่น โดยเฉพาะลูกน้องนั้น ท่านว่าเป็นศาสตร์และศิลปเชียวนะครับ
ผมเคยอ่านพบที่ไหนจำไม่ได้ว่าขนาดมีการเขียนเป็นตำรามาตั้งแต่สมัยโบราณโดยปราชญ์ชาวจีน
และก็เคยเห็นพ๊อกเกตบุ๊คตามแผงหนังสือก็มีเกี่ยวกับเรื่องศิลปในการตำหนิลูกน้อง
ซึ่งผมก็ไม่เคยซื้อหามาอ่านนะครับเลยไม่รู้ว่าเค้ามีหลักมีวิธีการกันอย่างไรบ้าง
จึงอยากให้แนวคิดตามสไตล์ของผมเองที่เคยทำๆมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็แล้วกัน
สิ่งแรกผมว่าการจะตำหนิคนได้ ตำหนิเป็น แบบว่าคนถูกตำหนิไม่ถึงกับขุ่นข้องหมองใจ
มันอยู่ที่คนที่จะตำหนิเขานะครับ ว่าเป็นคนมีจิตใจอย่างไร พูดเป็นหรือไม่แค่ไหน
จิตใจก็หมายถึงว่าเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีไม่ได้เป็นคนที่หุนหันพลันแล่น
ใจเยือกเย็นสุขุม มักจะคิดก่อนจะพูด หรือคิดก่อนจะทำ เพราะไม่ชอบการผิดพลาด
โดยเฉพาะเรื่องการทำให้คนอื่นเข้าใจผิดๆ ไม่อยากให้เกิดปัญหาตามมา
คนแบบนี้มักจะเป็นคนที่ค่อนข้างจะแคร์ความรู้สึกคนอื่นมากพอสมควร
มักจะไม่อยากให้ใครเกลียด ไม่อยากให้ใครโกรธ ตรงกันข้ามอยากให้คนอื่นเขารู้สึกดีกับตนเอง
หรือแปลว่าคนแบบนี้ไม่ต้องการสร้างศัตรู อยากสร้างมิตรมากกว่า
ดังนั้นเรื่องที่จะไปพูดหักหาญน้ำใจใครเขาก็จะไม่ทำ จะใช้วิธีนิ่งและเงียบมากกว่า
แต่หากมันเป็นหน้าที่เป็นความจำเป็นที่เขาจะต้องทำอย่างเช่นการเป็นหัวหน้าคนอื่น
ซึ่งไม่สามารถหลีกหนีเรื่องการอบรมสั่งสอน หรือแม้แต่การต้องตำหนิติเตียนลูกน้องตัวเอง
ดังนั้นการตำหนิติเตียนอบรมสั่งสอนลูกน้องจึงมีคอนเซ็ปตามจิตใจและความเป็นเขาโดยธรรมชาติ
ถ้ามีคำพูดหลายๆคำที่มีความหมายเดียวกันอย่างเช่นคำที่เกี่ยวกับการทำผิดของลูกน้อง
ซึ่งหากพูดกันตรงๆเข้ากลางแสกหน้า ก็จะมีประมาณว่า "ไม่รู้หรือไงว่ามันผิด"
"ทำอย่างนี้ได้ยังไงมันผิดเห็นๆ"
"ทำไมไม่ใช้หัวคิดเสียบ้าง""ทำไมถึงโง่นักล่ะ" ประมานนี้นะครับ
คนที่เป็นคนที่มีจิตใจอย่างที่ผมว่าแต่ต้นนั้นเขาจะไม่ใช้คำเหล่านั้นสักคำเลย
เขาจะเลี่ยงไปใช้ถ้อยคำและวิธีพูดที่สละสลวยกว่าแต่ความหมายมันก็เหมือนกันนั่นแหละ
อย่างเช่นอาจจะใช้คำอื่นมาแทนคำว่าผิดเป็นต้นว่า"คงจะไม่รู้มาก่อนมันจึงออกมาไม่ถูก"
"เอาเป็นว่าถ้าจะให้มันถูกต้องและเหมาะสม ควรจะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้นะ
ผลที่ออกมามันจะได้อย่างที่ควรจะเป็น พยายามหน่อยก็แล้วกัน ใจเย็นๆ
คนทำงานมันก็ต้องมีผิดมีพลาดกันบ้างเป็นธรรมดา ไม่มีใครทำอะไรถูกไปหมดหรอก ทำไม่ถูก
ก็ทำมันเสียใหม่ให้ถูก คราวหน้าระวังหน่อยก็แล้วกัน"
คุณคิดว่าไงครับความหมายเดียวกันไหมเพียงแต่ใช้วิธีพูดคนละอย่างเท่านั้น
ยิ่งเป็นการพูดกันสองต่อสองด้วยสีหน้าและโทนเสียงธรรมดาเหมือนกับการพูดจาทั่วไปแล้ว
คนที่ถูกตำหนิจะไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่ากำลังถูกตำหนิอยู่แท้ๆ
พอเอากลับไปคิดทีหลังนั่นแหละถึงจะรู้ว่าโดนเฉ่งแบบนิ่มๆเข้าไปดอกหนึ่งซะแล้ว
การใช้จังหวะและโอกาสก็เป็นเท็คนิคอย่างหนึ่งที่ใช้ประกอบการตำหนิแบบนุ่มนวล
คือลูกพี่ส่วนใหญ่พอเห็นลูกน้องทำผิดทำไม่ดีก็จะต่อว่าหรือด่ากันตรงนั้นเลย
บางคนอาจจะเห็นว่านั่นแหละถูกต้อง ต้องว่าเดี๋ยวนั้นด่าเดี๋ยวนั้น ลูกน้องจะได้จดจำ
ที่จำได้เพราะอายที่ถูกด่าไม่อยากถูกด่าอีกก็ต้องจำให้ดี
แต่บางครั้งลูกน้องไม่ได้อายหรือรู้สึกไม่ดีอย่างเดียวเขาอาจจะรู้สึกโกรธและไม่พอใจด้วยก็ได้
เพราะบางครั้งมันอาจจะไม่ใช่ความผิดพลาดของเขาอย่างแท้จริง มันอาจจะมาจากสาเหตุอื่นด้วย
แต่ผมจะคิดอีกอย่างแบบว่าก่อนที่จะตำหนิใครมันต้องแน่ใจเสียก่อนว่ามันใช่
มันไม่มีอะไรหรือใครมามีส่วนเป็นสาเหตุในครั้งนี้ด้วย ต้องหาข้อมูลให้ชัดเจนเสียก่อน
ฉะนั้นการจะไปดุด่าว่ากันทันทีทันควันจึงไม่สมควรจะทำต้องหาข้อเท็จจริงอย่างแรก
แน่นอนแล้วค่อยหาจังหวะและโอกาสเรียกมานั่งคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวแบบไม่ต้องซีเรียสอะไร
อีกแนวทางหนึ่งคือเราต้องจำแนกแยกแยะประเภทของลูกน้องที่จะตำหนิหรืออบรมสั่งสอนเขาด้วย
ไม่ใช่ว่ามีวิธีเดียวที่จะเอามาใช้กับทุกคนได้เพราะแต่ละคนไม่เหมือนกัน
บางคนเปราะบางมากก็ต้องใช้ความละมุนละไมและนิ่มนวลในการพูด
บางคนก็อย่างหนาใช้ความนิ่มนวลกับเขาไม่รู้สึกก็อาจต้องเพิ่มแรงเข้าไปสักหน่อย
หรือบางคนอาจไม่ต้องพูดเลยแค่แสดงออกด้วยสีหน้าท่าทางว่าผิดหวังแค่นั้นลูกน้องก็กลุ้มใจแล้ว
ซึ่งแปลว่าเราต้องอ่านลูกน้องแต่ละคนให้ออกว่าใครเป็นอย่างไรอย่างหนาหรืออย่างบาง
จึงจะเลือกแนวทางและดีกรีการพูดได้ถูกต้องและเหมาะสม
สำหรับคนชอบเขียนอย่างผมผมยังมีใช้มุขในการเขียน
เพื่อใช้อบรมและแนะนำลูกน้องวิจารณ์ทั้งผลงานและตัวเขาถึงข้อดีข้อเสีย
แต่ผมจะเลือกเขียนให้เฉพาะลูกน้องคนที่ใกล้ตัวจริงๆและรู้ว่าเขายอมรับในตัวผมจริงๆ
อย่างเช่นบรรดามือรองๆและตัวคีย์ๆของผม พวกเขาส่งส.ค.ส
ตอนปีใหม่ให้ผมๆก็ส่งจดหมายรักคืนเป็นส.ค.สให้กลับไป
ในจดหมายรักนั้น(เลขาฯเป็นคนตั้งชื่อ)ผมจะเขียนถึงผลงานและการทำงานของเขาทั้งปีที่ผ่านมา
มีงานไหนแง่มุมไหนที่ผมชื่นชมและพึงพอใจอย่างไรบ้าง
เพราะเหตุผลอะไรเพราะความสามารถและข้อดีอย่างไรของเขาบ้างจึงทำให้งานมันสำเร็จออกมาดี
มีงานอะไรบ้างที่มันยังคั่งค้างและต้องพยายามทำให้สำเร็จ
ที่มันค้างหรือล่าช้ามันมาจากสาเหตุอะไรมันไปบั่นทอนจุดอ่อนของเขาตรงไหน
เขาควรจะแก้ไขอย่างไร โดยใช้แนวคิดอย่างไร ด้วยเหตุผลอะไร
และตอนสรุปส่งท้ายก็จะให้กำลังใจและชื่นชม ขอบอกขอบใจที่พวกเขาร่วมมือร่วมใจกับผม
ลูกน้องบางคนเก็บจดหมายนี้ไว้อย่างดีและบอกว่ามันช่วยเตือนใจและสามารถใช้แก้ไขตัวเองได้
มันเปรียบเสมือนกระจกสำหรับส่องตัวเอง
แต่ผมจะกล้าเขียนก็เฉพาะกับคนที่ผมคิดว่าอ่านเขาทะลุปรุโปร่ง ยอมรับ
เต็มใจและอยากได้เท่านั้น ไม่ใช่เขียนให้ทุกคน
แนวทางและวิธีของผมนี้ไม่ได้เอาเพศมาเป็นตัวกำหนดว่าผู้หญิงต้องแบบนี้ผู้ชายต้องแบบนี้
แต่ผมใช้ประเภท ใช้นิสัยใจคอ ใช้พื้นฐานจิตใจ ความละเอียดอ่อนไหวของแต่ละคน
มาเป็นโจทย์ในการวางกลยุทธ์และวิธีการในการตำหนิหรืออบรมสั่งสอนมากกว่า
พอจะเข้าใจวิธีการแนวคิดและสไตล์นี้ของผมไหมครับ
โดย : สุจินต์ จันทร์นวล
ขออนุญาตแชร์ความเห็น เรื่องการตำหนิลูกน้อง ผมมีประสบการณ์ตรงที่ยังใช้อยู่คือ
การต้องตอบคำถามให้ครบ 5 ข้อ ก่อนการตำหนิ หรือกระทั่งการตัดสินลงโทษครับ
1.เขามีข้อบกพร่อง หรือผิดพลาดจริงมั้ย... (ถ้าจริงตอบข้อ 2)
2.อะไรคือเหตุผลที่บอกว่าเขาบกพร่อง หรือผิดพลาด...(ถ้าไม่มีเหตุผลเป็นรูปธรรม
แสดงว่าเขาแค่ทำไม่ถูกใจเรา ไม่ใช่ผิดพลาด หรือบกพร่อง)
3.ความรุนแรงของความบกพร่องถึงขั้นเป็นความผิดที่ต้องลงโทษหรือไม่...
(แปลว่าต้องเทียบกับกฏเกณฑ์ของบริษัทที่ต้องและประกาศให้พนักงานทราบก่อนหน้า...ถ้าเข้าข่ายตอบข้อ 4
ถ้าไม่เข้าข่ายข้ามไปตอบข้อ 5)
4.เมื่อเข้าข่ายเป็นความผิดที่ต้องลงโทษ ลงโทษสถานใด และมีเหตุอันใดที่จะลดโทษได้บ้าง...(ต้องตอบ 2
ประเด็นในข้อนี้ ลงโทษสถานใดที่ระบุชัดในระเบียบ
แต่จะลดโทษได้สถานใดคือการหาทางเข้าข้างด้วยความมีเมตตาต่อลูกน้อง)
5.การตำหนิหรือลงโทษครั้งนี้ อะไรคือข้อดีที่ลูกน้องจะได้รับ แล้วจะสื่อถึงเขาอย่างไร...
(เปลี่ยนประเด็นจากสิ่งที่อยากด่าเป็นสิ่งที่อยากบอกให้เขาดีขึ้น..แล้วอารมณ์พล่านๆของคนตำหนิจะลดอุณหภู
มิลง)
ถ้าตอบ 5 ข้อนี้ด้วยความจริงใจ การหาเหตุผลตรงนี้จะชะลอเวลาและอารมณ์อันหงุดหงิดของเราออกไปด้วย
ขออนุญาตอ้างคำสอนของคุณสุจินต์อันหนึ่งที่ว่า.. "ลูกน้องไม่ใช่ศัตรู แต่คือ ลูก กับ น้อง"
โดย : พลชัย เพชรปลอด
http://www.smart2work.net/webboard280/view.php?topic=41&PHPSESSID=9e89d4e4476df67382bb880789ca40e8
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น