ระบบดูแลช่วยเหลือ นักเรียน
ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน
1. ความหมายของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน
ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน เป็นกระบวนการดำเนินงานดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างมีขั้นตอน พร้อมด้วยวิธีการและเครื่องมือการทำงานที่ชัดเจนโดยมีครูที่ปรึกษาเป็นบุคลากรหลักในการดำเนินการดังกล่าว และมีการประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับครูที่เกี่ยวข้อง ผู้ปกครองหรือบุคคลภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
การดูแลช่วยเหลือ หมายรวมถึง การส่งเสริม การป้องกัน และการแก้ไขปัญหาโดยวิธีการและเครื่องมือสำหรับครูที่ปรึกษาและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ในการดำเนินงานพัฒนานักเรียนให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์และปลอดภัยจากสารเสพติด(หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา,2546)
สรุป การดูแลช่วยเหลือนักเรียน หมายถึง การกระทำที่ช่วยสนับสนุนส่งเสริม พัฒนาให้นักเรียนมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ และมีคุณภาพ ตามที่สังคมต้องการ
2. การบริหารงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน
ในปีการศึกษา 2548 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้กำหนดกรอบและแนวทาง การนำกลยุทธ์สู่การปฏิบัติ เพื่อให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 175 เขตและสถานศึกษาทั่วประเทศ นำไปกำหนดกรอบและแนวทางระดับเขตและสถานศึกษาให้สอดคล้องกันต่อไป สำหรับระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี เขต 2 ได้กำหนดไว้ใน
กลยุทธ์ที่ 2 การปฏิรูปการเรียนรู้สู่การใช้ความรู้เป็นฐานในการดำรงชีพ โครงการที่ 2 พัฒนาการจัดการเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรู้ มีตัวชี้วัด/ค่าเป้าหมาย คือนักเรียนได้รับการดูแลช่วยเหลือเพิ่มขึ้นร้อยละ 100 โดยมีอัตราการหนีเรียน ขาดเรียน ไม่เกินร้อยละ 5 อัตราการทะเลาะวิวาทของนักเรียนไม่เกินร้อยละ 3 อัตราการออกกลางคัน มีพฤติกรรมทางเพศไม่เหมาะสม การเกิดอุบัติเหตุ การเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ไม่เกินร้อยละ 1(สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี เขต 2,2548) และนโยบายรัฐบาลปัจจุบัน ยังได้กำหนดไว้ในข้อ 2 พัฒนาคนและสังคมที่มีคุณภาพ ในด้านเด็กและเยาวชนรัฐบาลได้จัดหน่วยเคลื่อนที่ที่เข้าถึงตัวเด็กเรียกว่า คาราวานเสริมสร้างเด็ก มีหน้าที่สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยการพัฒนาให้มีความรู้และจริยธรรม เริ่มตั้งแต่เด็กแรกเกิด ให้ความสำคัญแก่การสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ครอบครัวที่อบอุ่น และสถานศึกษาที่ใส่ใจดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างใกล้ชิด ด้วยการปลูกฝังคุณลักษณ์ที่พึงประสงค์ ความรู้ที่ทันโลก และคุณค่า
ที่ดีของวัฒนธรรมไทย สร้างความเข้าใจให้แก่พ่อแม่ ถึงวิธีการดูแลช่วยเหลือบุตรที่ถูกต้อง (นโยบายรัฐบาล,2548)
สถาบันวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้ ได้กำหนดเครื่องมือในการประเมินคุณภาพระบบ เพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาและเพื่อให้โรงเรียนทราบจุดตั้งของการพัฒนาโครงการและที่สำคัญการประเมินจะเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับผู้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาคือหน่วยประเมินของ สมศ. ฝ่ายประเมินของเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา ซึ่งนำไปสู่การพัฒนา เป็นแนวทางการส่งเสริมการประเมินคุณภาพสถานศึกษา ทั้งหมด 12 องค์ประกอบ ส่วนระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ได้ถูกกำหนดให้เป็นระบบหลัก ในองค์ประกอบที่ 9 มี 4 ข้อกำหนด ที่สถานศึกษาจะต้องบริหารจัดการให้มีคุณภาพตามเกณฑ์ที่ สมศ.กำหนดจึงจะผ่านการประเมินภายนอก ดังนี้
ข้อกำหนดที่ 1 มีการรู้จักผู้เรียนเป็นรายบุคคลและจัดกลุ่มผู้เรียนตามสภาพปัญหา
ข้อกำหนดที่ 2 มีการวิเคราะห์ปัญหา และแก้ไขสถานการณ์ ตลอดจนช่วยเหลือและประสานความร่วมมือกับฝ่ายต่าง
ข้อกำหนดที่ 3 มีการพัฒนาทักษะชีวิตที่เชื่อมโยงกับวิถีของชีวิต
ข้อกำหนดที่ 4 ร่วมมือและส่งเสริมให้ผู้ปกครองมีความรัก ความเข้าใจ เอาใจใส่ในการอบรมสั่งสอนบุตรหลานและเป็นแบบอย่างที่ดี(สถาบันวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้,2546)
กระบวนการดำเนินงานตามระบบการดูแลช่วยเหนือนักเรียน โดยครูที่ปรึกษาเป็นบุคลากรหลักในการปฏิบัติงานมีองค์ประกอบสำคัญ 5 ประการ คือ
- การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล
- การคัดกรองนักเรียน
- การส่งเสริมนักเรียน
- การป้องกันและแก้ไขปัญหา
- การส่งต่อ
กระบวนการดำเนินงานตามระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ที่แสดงในแผนภูมิเป็นความรับผิดชอบของครูที่ปรึกษาตลอดกระบวนการ โดยมีการประสานงานหรือรับการสนับสนุนจากผู้บริหาร ครูที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้ปกครอง ซึ่งมีวิธีการและเครื่องมือตัวอย่างสรุปได้ ดังนี้
กระบวนการดำเนินงาน
|
วิธีการ
|
เครื่องมือ
|
1. การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล
1.1 ด้านความสามารถ
- การเรียน
- ความสามารถอื่น ๆ
1.2 ด้านสุขภาพ
- ร่างกาย
- จิตใจ
- พฤติกรรม
1.3 ด้านครอบครัว
- เศรษฐกิจ
- การคุ้มครองนักเรียน
1.4 ด้านอื่น ๆ
|
ศึกษาข้อมูลจากการใช้
1) ระเบียนสะสม
2) แบบประเมินพฤติกรรมเด็ก
(SDQ)
3) อื่น ๆ
- แบบประเมินความฉลาดทาง อารมณ์ (E.Q.)
- แบบสัมภาษณ์นักเรียน
- แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียน
- แบบสัมภาษณ์ผู้ปกครอง
และเยี่ยมบ้านนักเรียน
ฯลฯ
|
1) ระเบียนสะสม
2) แบบประเมินพฤติกรรมเด็ก
(SDQ) หรือ
3) อื่น ๆ เช่น
- แบบประเมินความฉลาด ทางอารมณ์ (E.Q.)
- แบบสัมภาษณ์นักเรียน
- แบบสัมภาษณ์ผู้ปกครอง และเยี่ยมบ้านนักเรียน
- แบบบันทึกการตรวจสุขภาพ ด้วยตนเอง ฯลฯ
|
2. การคัดกรองนักเรียน
2.1 กลุ่มปกติ
2.2 กลุ่มเสี่ยง/มีปัญหา
|
ดำเนินการต่อไปนี้
1) วิเคราะห์ข้อมูลจาก
1.1 ระเบียนสะสม
1.2 แบบประเมินพฤติกรรม
เด็ก (SDQ)
1.3 แหล่งข้อมูลอื่น ๆ
2) คัดกรองนักเรียนตามเกณฑ์การคัดกรองของโรงเรียน
|
1) เกณฑ์การคัดกรองนักเรียน
2) แบบสรุปผลการคัดกรองและ ช่วยเหลือนักเรียนเป็นรายบุคคล
3) แบบสรุปผลการคัดกรองนักเรียนเป็นห้อง
|
กระบวนการดำเนินงาน
|
วิธีการ
|
เครื่องมือ
|
3. การส่งเสริมนักเรียน
(สำหรับนักเรียนทุกกลุ่ม)
|
ดำเนินการต่อไปนี้
1) จัดกิจกรรมโฮมรูม(Homeroom)
2) จัดประชุมผู้ปกครองชั้นเรียน (Classroom meeting) หรือ
3) จัดกิจกรรมอื่น ๆ ที่ครูพิจารณาว่าเหมาะสมในการส่งเสริมนักเรียนให้มีคุณภาพมากขึ้น
|
1) แนวทางการจัดกิจกรรม
โฮมรูมของโรงเรียน
2) แนวทางการจัดกิจกรรมประชุมผู้ปกคอรงชั้นเรียนของโรงเรียน
3) แบบบันทึก/สรุปประเมินผลการดำเนินกิจกรรมโฮมรูมประชุมผู้ปกครองชั้นเรียนอื่น ๆ
|
4. การป้องกันและแก้ไข
ปัญหา (จำเป็นอย่าง
มากสำหรับนักเรียน
กลุ่มเสี่ยง/มีปัญหา)
|
ดำเนินการต่อไปนี้
1) ให้การศึกษาเบื้องต้น
2) ประสานงานกับครูและผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ เพื่อการจัดกิจกรรมสำหรับการป้องกัน และช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของนักเรียน คือ
2.1) กิจกรรมในห้องเรียน
2.2) กิจกรรมเสริมหลักสูตร
2.3) กิจกรรมเพื่อนช่วยเพื่อน
2.4) กิจกรรมซ่อมเสริม
2.5) กิจกรรมสื่อสารกับผู้ปกครอง
|
1) แนวทางการจัดกิจกรรมเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาของนักเรียน 5 กิจกรรม
2) แบบบันทึกสรุปผลการคัดกรองและช่วยเหลือนักเรียนเป็นรายบุคคล
3) แบบบันทึกรายงานผลการดูแลช่วยเหลือนักเรียน
|
กระบวนการดำเนินงาน
|
วิธีการ
|
เครื่องมือ
|
5. การส่งต่อ
5.1 ส่งต่อภายใน
5.2 ส่งต่อภายนอก
|
ดำเนินการต่อไปนี้
1) บันทึกการส่งนักเรียนไปยังครู
ที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือ
นักเรียนต่อไป เช่น ครูแนะ
แนว ครูปกครอง ครูประจำ
วิชา ครูพยาบาล เป็นต้น ซึ่ง
เป็นการส่งต่อภายใน
2) บันทึกการส่งนักเรียนไปยัง
ผู้เชี่ยวชาญภายนอกโดยครู
แนะแนวหรือฝ่ายปกครองเป็น
ผู้ดำเนินการ ซึ่งเป็นการส่งต่อ
ภายนอก
|
1) แบบบันทึกการส่งต่อของโรงเรียน
2) แบบรายงานแจ้งผลการช่วยเหลือ
นักเรียน
|
หมายเหตุ โรงเรียนสามารถพิจารณาเลือกใช้วิธีการ และเครื่องมืออื่น ๆ เพิ่มเติมนอกเหนือจากที่ระบุเพื่อ การดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นตามความสามารถเหมาะสมของสภาพโรงเรียน
รายละเอียดของแต่ละองค์ประกอบในระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน
ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน เป็นกระบวนการดำเนินงานที่มีองค์ประกอบสำคัญ 5 ประการ ดังที่กล่าวมา คือ
- การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล
- การคัดกรองนักเรียน
- การส่งเสริมนักเรียน
- การป้องกันและแก้ไขปัญหา
- การส่งต่อ
แต่ละองค์ประกอบของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนดังกล่าว มีความสำคัญมีวิธีการและ
เครื่องมือที่แตกต่างกันไป แต่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันซึ่งเอื้อให้การดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพ (หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา,2546)
สรุป การบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ผู้บริหารจะต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพราะในสังคมปัจจุบันมีสื่อและเทคโนโลยีที่ชวนให้นักเรียนหลงใหลในรูปลักษณ์ ซึ่งนำไปสู่การเสียการเรียน เพราะโรงเรียนเป็นสถานบันหนึ่งที่มีหน้าที่สร้างเยาวชนของชาติให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ เพื่อให้เยาวชนมีคุณภาพนำไปสู่การพัฒนาชาติให้เจริญทัดเทียมกับอารยประเทศได้ การที่จะได้เยาวชนที่มีคุณภาพนั้นทุกคนที่มีส่วนได้เสีย เช่น ผู้บริหาร หัวหน้าระดับ ครูที่ปรึกษา ผู้ปกครองจะต้องช่วยกันอย่างจริงจัง
การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล
1. ความสำคัญ
ด้วยความแตกต่างของนักเรียนแต่ละคนที่มีพื้นฐานความเป็นมาของชีวิตที่ไม่เหมือนกันหล่อหลอมให้เกิดพฤติกรรมหลากหลายรูปแบบ ทั้งด้านบวกและด้านลบ ดังนั้นการรู้จักข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับตัวนักเรียนจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยให้ครูที่ปรึกษามีความเข้าใจนักเรียนมากขึ้น สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อการคัดกรองนักเรียน เป็นประโยชน์ในการส่งเสริม การป้องกันและแก้ไขปัญหาของนักเรียนได้อย่างถูกทาง ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์มิใช่การใช้ความรู้สึกหรือการคาดเดาโดยเฉพาะในการแก้ไขปัญหานักเรียน ซึ่งจะทำให้ไม่เกิดข้อผิดพลาดต่อการช่วยเหลือนักเรียนหรือเกิดได้น้อยที่สุด
2. ข้อมูลพื้นฐานของนักเรียน
ครูที่ปรึกษาควรมีข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนอย่างน้อย 3 ด้านใหญ่ ๆ คือ
- ด้านความสามารถ แยกเป็น
1.1 ด้านการเรียน
1.2 ด้านความสามารถอื่น ๆ
- ด้านสุขภาพ แยกเป็น
2.1 ด้านร่างกาย
2.2 ด้านจิตใจ – พฤติกรรม
- ด้านครอบครัว แยกเป็น
3.1 ด้านเศรษฐกิจ
3.2 ด้านการคุ้มครองนักเรียน
4. ด้านอื่น ๆ ที่ครูพบเพิ่มเติมซึ่งมีความสำคัญหรือเกี่ยวข้องกับการดูแลช่วยเหลือนักเรียน
ข้อมูลพื้นฐานของนักเรียนที่ควรทราบ
ข้อมูลนักเรียน
|
รายละเอียดข้อมูลพื้นฐานที่ควรทราบ
|
1. ด้านความสามารถ
1.1 ด้านการเรียน
1.2 ด้านความสามารถอื่น ๆ
|
- ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในแต่ละวิชา
- ผลการเรียนเฉลี่ยในแต่ละภาคเรียน
- พฤติกรรมการเรียนในห้องเรียนที่มีผลต่อการเรียนรู้ของนักเรียน เช่น
ไม่ตั้งใจเรียน ขาดเรียน เป็นต้น
- ฯลฯ
- บทบาทหน้าที่พิเศษในโรงเรียน
- ความสามารถพิเศษ
- การเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน
- ฯลฯ
|
2. ด้านสุขภาพ
2.1 ด้านร่างกาย
2.2 ด้านจิตใจ - พฤติกรรม
|
- ส่วนสูง น้ำหนัก
- โรคประจำตัว ความบกพร่องทางร่างกาย เช่น การได้ยิน การมองเห็น
- ฯลฯ
- อารมณ์ซึมเศร้า/วิตกกังวล
- ความประพฤติ
- พฤติกรรมอยู่ไม่นิ่ง/สมาธิสั้น
- บุคลิกภาพเก็บตัว/ขี้อาย
- ฯลฯ
|
3. ด้านครอบครัว
3.1 ด้านเศรษฐกิจ
|
- รายได้ของบิดา มารดา/ผู้ปกครอง
- อาชีพของผู้ปกครอง
- ค่าใช้จ่ายที่นักเรียนได้รับในการมาโรงเรียน
- ฯลฯ
|
ข้อมูลนักเรียน
|
รายละเอียดข้อมูลพื้นฐานที่ควรทราบ
|
3.2 ด้านการคุ้มครองนักเรียน
|
- จำนวนพี่น้อง/บุคคลในครอบครัว
- สถานภาพของบิดา มารดา
- บุคคลที่ดูแลรับผิดชอบนักเรียน
- ความสัมพันธ์ของบุคคลในครอบครัว
- ลักษณะที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อม
- ความเจ็บป่วยของคนในครอบครัว หรือการใช้สารเสพติด การติดสุรา
การพนัน เป็นต้น
- ฯลฯ
|
3. วิธีการและเครื่องมือในการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล
ครูที่ปรึกษาควรใช้วิธีการและเครื่องมือที่หลากหลาย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่คอบคลุมทั้งด้านความสามารถ ด้านสุขภาพ และด้านครอบครัว ที่สำคัญ คือ
1) ระเบียนสะสม
2) แบบประเมินพฤติกรรมเด็ก (SDQ)
3) วิธีการและเครื่องมืออื่น ๆ เช่น การสัมภาษณ์นักเรียน การศึกษาจากแฟ้มสะสมผลงาน การเยี่ยมบ้าน การศึกษาข้อมูลจากแบบบันทึกการตรวจสุขภาพด้วนตนเองซึ่งจัดทำโดยกรมอนามัย เป็นต้น
1) ระเบียนสะสม
ระเบียนสะสม เป็นเครื่องมือในรูปแบบของเอกสารเพื่อการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวนักเรียน โดยนักเรียนเป็นผู้กรอกข้อมูล และครูที่ปรึกษานำข้อมูลเหล่านั้นมาศึกษา พิจารณาทำความรู้จักนักเรียนเบื้องต้น หากข้อมูลไม่เพียงพอ หรือมีข้อสังเกตบางประการ ก็ควรหาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยวิธีการ ต่าง ๆ เช่น การสอบถามจากนักเรียนโดยตรง การสอบถามจากครูอื่น ๆ หรือเพื่อน ๆ ของนักเรียน เป็นต้น รวมทั้งการใช้เครื่องมือทดสอบต่าง ๆ หากครูที่ปรึกษาดำเนินการได้
รูปแบบและรายละเอียดในระเบียนสะสมของแต่ละโรงเรียน มีความแตกต่างกันได้ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละโรงเรียนแต่อย่างน้อยควรครอบคลุมข้อมูลทั้งด้านการเรียนด้านสุขภาพและด้านครอบครัว
ระเบียนสะสม เป็นข้อมูลส่วนตัวของนักเรียน จึงต้องเป็นความลับและเก็บไว้อย่างดีมิให้ผู้ที่ไม้เกี่ยวข้องหรือเด็กอื่น ๆ มารื้อค้นได้ หากเป็นไปได้ควรเก็บไว้กับครูที่ปรึกษาและมีผู้เก็บระเบียบสะสมไว้ให้เรียบร้อย
ระเบียนสะสม ควรเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 3 ปีการศึกษา หรือ 6 ปีการศึกษา และส่งต่อระเบียนไปยังครูที่ปรึกษาคนใหม่ในปีการศึกษาต่อไป หรือการจัดครูที่ปรึกษาตามดูแลนักเรียนอย่างต่อเนื่อง จนจบมัธยมศึกษาในแต่ละตอน หรือจนจบ 6 ปีการศึกษาก็ได้
2) แบบประเมินพฤติกรรมเด็ก (SDQ) (โรงเรียนอาจนำเครื่องมืออื่นมาใช้แทนก็ได้)
แบบประเมินพฤติกรรมเด็ก ไม่ได้เป็นแบบวัดหรือแบบทดสอบ แต่เป็นเครื่องมือสำหรับการคัดกรองนักเรียนด้านพฤติกรรม การปรับตัว ที่มีผลเกี่ยวเนื่องกับสภาพกับสภาพจิตใจซึ่งจะช่วยให้ครูที่ปรึกษามีแนวการพิจารณานักเรียนด้านสุขภาพจิตมากขึ้น
แบบประเมินพฤติกรรมเด็ก เป็นเครื่องมือที่กรมสุขภาพจิตเป็นเป็นผู้จัดทำขั้น โดยพัฒนาจาก The Strengths and Difficulties Questionnaire (SDQ) ประเทศเยอรมนี ซึ่งใช้กันแพร่หลายในประเทศแถบยุโรป เพราะมีความเที่ยงและความตรงจำนวนข้อไม่มากนัก คณะผู้จัดทำของกรมสุขภาพจิต โดย แพทย์หญิง พรรณพิมล หล่อตระกูล เป็นหัวหน้าคณะได้ทำการวิจัยเพื่อวิเคราะห์ค่าความเที่ยงและ ความตรงของแบบประเมิน และหาเกณฑ์มาตรฐาน (Norm) ของเด็กไทย
แบบประเมินพฤติกรรมเด็ก มี 3 ชุด คือ
- ชุดที่ครูเป็นผู้ประเมินเด็ก
- ชุดที่พ่อแม่ ผู้ปกครอง เป็นผู้ประเมินเด็ก
- ชุดที่เด็กประเมินตนเอง
ทั้ง 3 ชุด มีเนื้อหาและจำนวนข้อ 25 ข้อ เท่ากัน ทางโรงเรียนอาจเลือกใช้ชุดที่นักเรียน
ประเมินตนเองชุดเดียว หรือใช้ควบคู่กับชุดที่ครูเป็นผู้ประเมินเพื่อความแม่นตรงยิ่งขึ้นโดยระยะเวลาที่ประเมินไม่ควรห่างจากนักเรียนประเมินตนเองเกิน 1 เดือน ซึ่งหากเป็นไปได้ควรใช้แบบประเมินทั้ง 3 ชุด พร้อมกัน เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของผลที่ออกมา
3) วิธีการและเครื่องมืออื่น ๆ
ในกรณีที่ข้อมูลของนักเรียนจากระเบียนสะสมและแบบประเมินพฤติกรรมเด็กไม่พอเพียงหรือเกิดกรณีที่จำเป็นต้องมีข้อมูลที่เพิ่มเติมอีก ครูที่ปรึกษาก็อาจใช้วิธีการและเครื่องมืออื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การสังเกตพฤติกรรมอื่น ๆ ในห้องเรียน การสัมภาษณ์และการเยี่ยมบ้านนักเรียน เป็นต้น(หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา,2546)
สรุป การรู้จักรนักเรียนเป็นรายบุคคลคือการที่ครูทุกคนที่เกี่ยวข้องกับนักเรียนจะต้องทำความรู้จักรกับนักเรียนที่ตนเองรับผิดชอบในทุกทกด้านโดยการศึกษาข้อของเด็กจากลหายที่เช่น ระเบียนสะสม เยี่ยมบ้าน สังเกต สัมภาษณ์ เป็นต้น
การคัดกรองนักเรียน
1. ความสำคัญ
การคัดกรองนักเรียน เป็นการพิจารณาข้อมูลที่เกี่ยวกับตัวนักเรียน เพื่อการจัดกลุ่มนักเรียนเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มปกติ คือ นักเรียนที่ได้รับการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ตามเกณฑ์การคัดกรองของโรงเรียนแล้ว อยู่ในเกณฑ์ของกลุ่มปกติ
2. กลุ่มเสี่ยง/มีปัญหา คือ นักเรียนที่จัดอยู่ในเกณฑ์ของกลุ่มเสี่ยง/มีปัญหาตามเกณฑ์การคัดกรองของโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนต้องให้ความช่วยเหลือ ป้องกันหรือแก้ไขปัญหาตามแต่กรณี
การจัดกลุ่มนักเรียนนี้ มีประโยชน์ต่อครูที่ปรึกษาในการหาวิธีการเพื่อดูแลช่วยเหลือนักเรียนได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาให้ตรงกับปัญหาของนักเรียนยิ่งขึ้น และมีความรวดเร็วในการแก้ไขปัญหา เพราะมีข้อมูลของนักเรียนในด้านต่าง ๆ ซึ่งหากครูที่ปรึกษาไม่ได้คัดกรองนักเรียนเพื่อการจัดกลุ่มแล้ว ความชัดเจนในเป้าหมายเพื่อการแก้ไขปัญหาของนักเรียนจะมีน้อยลง มีผลต่อความรวดเร็วในการช่วยเหลือ ซึ่งบางกรณีจำเป็นต้องแก้ไขโดยเร่งด่วน
ผลการคัดกรองนักเรียน ครูที่ปรึกษาจำเป็นต้องระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะไม่ทำให้นักเรียนรับรู้ได้ว่าตนถูกจัดกลุ่มอยู่ในกลุ่มเสี่ยง/มีปัญหา ซึ่งมีความแตกต่างจากกลุ่มปกติโดยเฉพาะนักเรียนวัยรุ่นที่มีความไวต่อการรับรู้ (sensitive) แม้ว่านักเรียนจะรู้ตัวดีว่า ขณะนี้ตนมีพฤติกรรมอย่างไรหรือประสบกับปัญหาใดก็ตามและเพื่อเป็นการป้องกันการล้อเลียนในหมู่เพื่อนอีกด้วย ดังนั้น ครูที่ปรึกษาต้องเก็บผลการคัดกรองนักเรียนเป็นความลับ นอกจากนี้ครูที่ปรึกษามีการประสานงานกับผู้ปกครองเพื่อการช่วยเหลือนักเรียน ก็ควรระมัดระวังการสื่อสารที่ทำให้ผู้ปกครองเกิดความรู้สึกว่า บุตรหลานของตนถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ผิดปกติแตกต่างจากเพื่อนนักเรียนอื่น ๆ ซึ่งอาจมีผลเสียต่อนักเรียนในภายหลังได้
2. แนวทางการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการคัดกรองนักเรียน
การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการคัดกรองนักเรียนนั้น ให้อยู่ในดุลยพินิจของครูที่ปรึกษาและยึดถือเกณฑ์การคัดกรองนักเรียนของโรงเรียนเป็นหลักด้วย ดั้งนั้น โรงเรียนจึงควรมีการประชุมครูเพื่อการพิจารณาเกณฑ์การจัดกลุ่มนักเรียนร่วมกัน เพื่อให้มีมาตรฐานหรือแนวทางการคัดกรองนักเรียนที่เหมือนกัน เป็นที่ยอมรับของครูในโรงเรียน รวมทั้งให้มีการกำหนดเกณฑ์ว่าความรุนแรงหรือความถี่ของพฤติกรรมเท่าใดจึงจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง/มีปัญหา
สำหรับประเด็นการพิจารณาเพื่อจัดทำเกณฑ์การคัดกรองและแหล่งข้อมูลเพื่อคัดกรองนักเรียนแต่ละด้าน มีตัวอย่างตามตารางดังต่อไปนี้
ข้อมูลนักเรียน
|
ตัวอย่างประเด็นการพิจารณา
|
แหล่งข้อมูล
|
1. ด้านความสามารถ
1.1 ด้านการเรียน
1.2 ด้านความสามารถอื่น ๆ
|
1) ผลการเรียนที่ได้ และความเปลี่ยนแปลงของผลการเรียน
2) ความเอาใจใส่ ความพร้อมในการเรียน
3) ความสามารถในการเรียน
4) ความสม่ำเสมอในการมาโรงเรียนเวลาที่มาโรงเรียน การเข้าชั้นเรียน
1) การแสดงออกถึงความสามารถ พิเศษที่มี
2) ความถนัด ความสนใจ และ ผลงานในอดีตที่ผ่านมา
3) บทบาทหน้าที่พิเศษในโรงเรียน
4) การเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของนักเรียน
|
- ระเบียนสะสม
- วิธีการอื่น ๆ เช่น การสังเกตพฤติกรรมนักเรียน การได้ข้อมูลจากครูที่เกี่ยวข้องกับนักเรียน เป็นต้น
- ระเบียนสะสม
- วิธีการอื่น ๆ เช่น การได้ข้อมูลจากเพื่อนนักเรียน แฟ้มสะสมผลงาน พฤติกรรมที่แสดงออกของนักเรียน เป็นต้น
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น